วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

สรุปการใช้ Present perfect

การใช้ present perfect นับว่าเป็นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างซับซ้อน เราจึงสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ tense ไว้ดังต่อไปนี้

ข้อควรจำเกี่ยวกับรูปแบบของ Present perfect

1. present perfect ประกอบด้วยกริยาช่วย have/has และ รูปกริยา ช่องที่ 3 ของกริยาทุกตัว
- I have seen a lot of American films.
- Mr.Tom has left.

2. รูปย่อของ have/has ('ve/'s) มักจะใช้กันในภาษาพูด
- I've seen a lot of American films.
- Mr.Tom's left.

3. รูปปฏิเสธทำได้โดยการเติม not หลังกริยาช่วย have/has (haven't = have not, hasn't = has not) และรูปคำถามทำโดยการสลับที่ระหว่างประธานกับกริยาช่วย
- I haven't seen many Japanese films.
- Has Mr.Tom left?

ข้อควรจำเกี่ยวกับการใช้ present perfect

1.ไม่ควรสับสนกับ past simple แม้ว่าทั้งสอง tense นี้จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ present perfect ใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์นั้นๆ มีความเกี่ยวเนื่องกับปัจจุบัน ขณะที่ past simple ไม่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับเหตุการณ์ปัจจุบัน


2. present perfect ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในอดีตที่มีผลปรากฏให้เห็นชัดเจนในปัจจุบัน
- I've made some coffee. Would you like some?

- ใช้กับเหตุกาณ์ในอดีต (เกิดขึ้นเร็วๆ นี้หรือไม่ก็ได้) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของคนๆ หนึ่งจนถึงปัจจุบัน
- I've been to wales, but I've never visited Cardiff.

3. present perfect ใช้กับกิจกรรมที่ต่อเนื่องมาจากอดีตและเพิ่งเสร็จสิ้นลง
- We've walked 20 miles. Thant's enough.

- ใช้กับกิจกรรมเกิดขึ้นในจุดหนึ่งในอดีตและดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันและยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
-I've lived here since 1983.

Finished!

เรามักจะใช้ present perfect เพื่อแสดงการกระทำที่เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์คือใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและเพิ่งเพิ่งเสร็จสิ้นลงดัง ตัวอย่างต่อไปนี้


W : Finished!
M: What?
W : I've finished!
M : What did you say?
W : I've finished my book!
M : Really? That's great.
------------------------------------
M : What time is it?
W : Half past five.
M : Let's stop in the next village.
W : OK. If we can find a "Bed and Breakfast".
M : Yes. We've walked 20 miles. I think that's enough for today.
W : Yes.

-----------------------------------
- Finished! เสร็จแล้ว
- I've finished my book! ฉัน (อ่าน) หนังสือจบแล้ว
- We've walked 20 miles. เราเดินมา 20 ไมล์แล้ว
- I think that's enough for today. ฉันคิดว่านั่นเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้

โปรดสังเกตความแตกต่างที่จะเกิดขึ้นหากในบทสนทนานี้ใช้ past simple แทน present perfect

ผู้พูดใช้ present perfect ในประโยค I've finished my book! (พูดหลังจากอ่านหนังสือจบทันที) และ We've walked 20 miles.(พูดหลังจากที่เดินมาถึงจุด 20 ไมล์แล้วทันที) การใช้ tense นี้ จะทำให้เห็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในอดีตกับปัจจุบัน แต่ past simpleจะใช้กับเหตุการณ์นั้นไม่มีความเชื่อมโยงกับปัจจุบัน และ เมื่อใช้ past simple มักจะมีสำนวนระบุเวลากำกับอยู่เสมอ

-Yesterday was a great day. I finished my book!
เมื่อวานนี้เป็นวันที่ดีมาก ฉันอ่านหนังสือจบแล้ว
- Yesterday was a hard day. We walked 20 miles.
เมื่อวานนี้เป็นวันที่ยากลำบาก เราเดินตั้ง 20 ไมล์

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

Must และ have to

Have to (has to, had do, didn’t have to) จะใช้เพื่เสริมข้อบกพร่องของกริยา must ซึ่งเป็นกริยาที่มีเพียงรูปเดียวคือ present simple เท่านั้น must และ have to/has to สามารถใช้ใน present simple ได้ แต่สีสันของภาษาจะแตกต่างกันเล็กน้อย
ระหว่างกริยาสองตัวนี้มีความแตกต่างกันแต่อธิบาย
ให้เข้าใจยากอยุ่หลายอย่าง แม้ว่าในภาษาของผู้พูดภาษาอังกฤษจะไม่สะท้อนให้เห็นความแตกต่างทั้งหมดก็ตาม ข้างล่างนี้คือสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกริยาเหล่านี้และข้อแนะนำสั้นๆ ที่จะช่วยให้คุณใช้คำกริยาเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น



1. การใช้ must ในประโยคแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้พูดเองที่สร้างข้อบังคับขณะที่การใช้ have to แสดงให้เห็นว่าเป็นการบังคับจากภายนอก
- I must go. ฉันต้องไป (ผู้พูดคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องไปไหนสักแห่ง)
- I have to go. ฉันต้องไป (ผู้พูดมีนัดซึ่งบังคับให้เขาต้องไปที่ไหนสักแหน่ง) แต่ผู้พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากก็ไม่เข้มงวดกับความแตกต่างในเรื่องนี้นัก


2. ในการเขียนกฏระเบียบหรือประกาศสาธารณะที่เป็นทางการมักจะใช้ must มากกว่า have to
- All visitors to New Zealand must have a valid passport.
ผู้มาเยือนนิวซีแลนด์ทุกคนจะต้องมีหนังสือเดินทางที่ถูกต้อง
- Dogs must be on a lead.
สุนัขต้องอยู่กับสายจูง (ถ้านำสุนัขเข้ามาต้องจูงไว้)


3. มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง mustn’t กับ don’t have to/doesn’t have to สำนวนแรกหมายถึง การไม่อนุญาติให้ทำบางสิ่งขณะที่สำนวนที่สองหมายถึง มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่จำเป็น ดังต่อไปนี้
- You mustn’t work so hard.
คุณต้องไม่ทำงานหนักเกินไป (มันไม่ดีกับสุขภาพของคุณ)
- You don’t have to work so hard.
คุณต้องไม่ทำงานหนักเกินไป (มันไม่จำเป็น)
ในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษจะใช้รูปปฏิเสธของกริยา need แสดงความหมายของประโยคที่สอง
- You needn’t work so hard.


4. ในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ have got to/has got to มักจะใช้แทน have to/has to เมื่อใช้ในการพูดเกี่ยวกับการบังคับในบางโอกาศ เปรียบเทียบดังตัวอย่างต่อไปนี้
- I’ve got to work this weekend.
ฉันต้องทำงานวันสุดสัปดาห์นี้
- I have to work at weekend.
ฉันต้องทำงานทุกวันสุดสัปดาห์
ความแตกต่างแบบนี้จะค่อยๆ หายไปเพราะอิทธิพลของภาษาอังกฤษแบบอเมริกันซึ่งสามารถใช้ have to/has to ได้กับทุกสถานการณ์
คำอธิบายข้างต้นนี้แสดงให้เห็นความยุ่งยากและสลับซับซ้อนในการใช้ must, mustn’t, have (got) to เป็นต้น คุณจะได้อ่านตัวอย่างของรูป ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจได้โดยง่าย ดังต่อไปนี้
- ให้ลืมรูปแบบของ have got to/has got to และ needn’t
- ใช้ mustn’t เพื่อแสดงว่าไม่อนุญาตให้ทำบางสิ่งหรือไม่แนะนำให้ทำบางสิ่งตามที่คุณเห็นในตัวอย่าง ด้านล่างนี้
You mustn’t work so hard.
- ใช้รูปที่เหมาะสม have to ได้ทุกโอกาส
I have to go. I don’t have to go.

Jack has to work at weekend.
He doesn’t have to work this weekend.
You have to do three things.
 

รูปแบบของ modal auxiliary verbs

รูปแบบของ modal auxiliary verbs

ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับรูปแบบของ modal auxiliary verbs

1.กริยานี้ไม่เปลี่ยนรูปไมว่าจะใช้กับประธานตัวใดก็ตาม นั่นคือไม่ต้องเติม s เมื่อใช้กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3

I can swim.     I must go.

She can swim           He must go.


2. กริยาเหล่านี้จะตามด้วยกริยา infinitive ที่ไม่มี to

He can drive.            You must get some exercise.


3. รูปปฏิเสธทำได้โดยการวาง not หลัง modal auxiliary verb (ในการพูดจะใช้รูปย่อ) ส่วนคำถามทำได้โดยการสลับตำแหน่งประธานกับกริยา

He can’t swim.          You mustn’t work so hard.

Can you swim?         Must you work so hard?


4. modal auxiliary verb เป็นกริยาที่ไม่สมบรูณ์ จึงขาดรูปแบบของกริยาบางรูปไป เช่น กริยาบางตัวไม่มีรูป infinitive รูปกริยาช่องที่ 3 และ รูปกริยาช่องที่ 2 (past simple) เป็นต้น ในประโยคที่ต้องใช้รูปแบบของกริยาดังกล่าว จึงต้องนำสำนวนอื่นที่ทำหน้าที่เหมือนกันได้มาใช้แทน  เช่น การใช้สำนวน be able to เพื่อทำหน้าที่เสมือนส่วนที่ไม่สมบรูณ์ของกริยา  can เพื่อแสดงรูป infinitive แทนกริยา can เช่น  Would you like to be able to sing? 

กริยา have to ก็ใช้ทำหน้าที่ได้เหมือนกริยา must ตัวอย่างเช่น  ในกรณีที่ประโยคต้องการูปกริยาช่องที่ 2 (past simple) เช่น I had to leave early.








การใช้ must หรือ mustn't

คำว่า must มีการออกเสียงทั้งรูปแบบเข้มและรูปแบบอ่อนเมื่อคำนี้อยู่ท้ายประโยคหรือเมื่อใช้เน้นเพื่อเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งจะใช้รูปแบบเข้ม แต่เมื่อไม่ต้องการเน้นเป็นพิเศษจะใช้รูปแบบอ่อน

สังเกตุว่าในรูปปฏิเสธ mustn’t จะใช้สระ A แต่เสียง t ที่อยู่ท้ายคำ must ไม่ออกเสียง จะออกเฉพาะ แต่เสียง t ที่อยู่ท้ายคำ must ไม่ออกเสียง จะออกเฉพาะเสียง t ของส่วนปฏิเสธ not เท่านั้น

การใช้ must หรือ mustn’t ในประโยคแสดงให้เห็นว่าการบังคับนั้นๆ ขึ้นอยู่กับผู้พูดให้ชัดเจนก็คือผู้พูดคิดว่าดการกระทำนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เช่น พูดว่า I must stop smoking.  เพราะเขาคิดว่าจำเป็นต้องทำเช่นนั้น และ หมอ (ผู้หญิง) ให้คำแนะนำเขาว่า You must do three things. เพราะเธอคิดว่ามันจำเป็นสำหรับเขาที่ต้องทำสามสิ่งนั้น.

You must to stop smoking.

You must get some exercise.

You mustn’t work so hard.



อีกวิธีหนึ่งที่จะแสดงการบังคับให้กระทำบางสิ่งก็คือการใช้ have to/has to แทนการใช้ must ซึ่งจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันเล็กน้อย การใช้ have to /has to แสดงว่าการบังคับนั้นๆ ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกของผู้ดูแต่เป็นการบังคับที่มาก “ภายนอก” เช่น

What time do you have to be there?

I have to be there at 13.30.

So you have to leave here at 12.30.

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

ส่วนเติมท้ายของคำคุณศัพท์

เติมท้ายด้วย -al, -ous, -tic, -ive, -able และ -y  ดังนี้ ในปัจจุบันคุณได้พบคำคุณศัพท์มากมายที่มีส่วนเติมท้ายกลุ่มแรก ดังตัวอย่างต่อไปนี้


-al
personal, tropical
-ous
dangerous, mountainous
-ic
artistic, poetic
-ive
conservative,sensitive
-able
enjoyable,remarkable
-y
healthy,spicy
 
ข้างล่างนี้เป็นน่วนส่นที่เติมท้ายคำคุณศัพท์ที่ใช้บ่อยมากในภาษาอังกฤษแแต่คุณอาจจะไม่เคยพบมาก่อน




ส่วนติมท้าย -ent
- ent เป็นส่วนเติมท้ายคำคุณศัพท์ที่มักจะมาจากคำนามที่ลงท้ายด้วย
- ence ต่อไปนี้เป็นคำนามและคำคุณพท์ที่เกี่ยวเนื่องกัน


นาม :

confidence
ความไว้วางใจ ความมั่นใจ
differrence
ความแตกต่าง
independence
ความอิสระ ไม่อาศัยใคร ความเป็นกลาง
intelligence
ความฉลาด ความมีไหวพริบ
  คุณศัพท์


confident
ไว้วางใจ มั่นใจ
different
แตกต่าง
independent
อิสระ ไม่อาศัยใคร
intelligent
ฉลาย รู้จักคิด มีไหวพริบ
 
ส่วนเติมท้าย -ful
 คุณเคยเห็นคำคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย -ful มาแล้วหลายตัว อาทิ

beautiful
สวย งาม
careful
ระมัดระวัง เอาใจใส่
thoughtful
ช่วงคิด
useful
เป็นประโยชน์
 คุณอาจจะเดาได้ว่า -ful นั้นที่มาจากคำพูดคุณศัพท์ตัวหนึ่งคือ full (เต็ม,เต็มไปด้วย,เพียบ) ถ้าคุณจำสิ่งนี้ได้ก็จะช่วยให้สามารถเดาความหมายของคำที่ลงท้ายด้วย -ful ได้ง่ายขึ้น เช่นคำว่า beautiful ก็มีความความหมายว่า เต็มไปด้วยความสวย


ส่วนที่เติมท้าย -less
คำคุณศัพท์ส่วนใหญ่ที่ลงท้ายด้วย -ful มักมีคำที่มีความหมายตรงข้ามที่ลงท้ายด้วย -less


careful
ระมัดระวัง เอาใจใส่
Careless
สะเพร่า
useful
เป็นประโยชน์
useless
ไร้ประโยชน์
 
อย่างไรก็ตามสิ่งที่กล่าวไปแล้วนั้นไม่ได้เป็นกฏที่ถูกต้องเสมอไป เพราะคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย -ful ทุกตัวไม่มีคำตรงข้ามที่มีส่วนเติมท้าย -less เสมอไป เช่น คำตรงข้ามของ beautiful คือ ugly (น่าเกลียด,อัปลักษณ์)


ส่วนเติมท้าย -ing
คุณทราบแล้วว่า -ing เป็นคำลงท้ายคำกริยาที่ใช้ในสำนวนต่างๆ อาทิ It's raining. What are you doing? หรือ No smoking.  มีคำคุณศัพท์หลายตัวที่มีรากศัพท์มาจากคำกริยา เช่น
charming  มีเสน่ห์
interesting น่าสนใจ


ส่วนเติมท้าย -ed
นี่เก็เป็นส่วนเติมท้ายคำกริยาอีกตัวหนึ่งใช้เมื่อกริยานั้นอยู่ในรุป past simple และช่องที่สามของกริยาที่ผันตามกฏ คุณได้พบประโยคที่มีกริยารูป อดีดกาลมาแล้วมากมาย เช่น I visited London last year หรือ Have you ever visited London? กริยาช่องที่สามส่วนใหญ่จะใช้ เป็นคำคุณศัพท์ได้พบตัวอย่างสองคำดังนี้
determined   มุ่งมั่น,เด็ดเดี่ยว
reserved    เก็บตัว,ไว้ตัว

ส่วนเติมท้าย -ed สามารถใช้เป็นคำคุณศัพท์สำหรับอธิบายลักษณะผู้คนและมีความหมายเช่นเดียวกับสำนวนที่คุณได้เรียนบทนี้ เช่น แทนที่ จะพูดว่า a man with red hair ก็พูดได้ว่า a red-haired man หรือ a woman with blue-eyes ก็พูดได้ว่า a blue-eyed woman. 


ส่วนเติมท้าย -ish
ส่วนเติมท้ายนี้มีประโยชน์มากเพราะจะช่วยให้คุณสามารถอธิบาย ลักษณะของใครบางคน หรือ ของบางสิ่งได้ในกรณีที่คุณไม่สามารถหรือไม่เต็มใจจะบอกลัษณะที่ถูกต้องชัดเจน ลองเปรียบเทียบความหมายของประโยคแต่ละคู่ต่อไปนี้



He's got green eyes.
เขามีตาสีเขียว
He's got greenish  eyes.
เขามีตาสีออกเขียวๆ
He's young.
เขาหนุ่ม
He's yougish.
เขาค่อนข้างหนุ่ม
 ส่วนเติมท้าย -ish ยังสามารถเติมท้ายตัวเลขได้ ถ้าพูดถึงอายุของผู้คน



He's thirty (years old).
เขาอายุสามสิบ
He's thirtyish.
เขาอายุราวๆ สามสิบ

 
คณได้เห็นแล้วว่า -ish นั้นเป็นส่วนเติมท้ายคำคุณศัพท์ทำให้คุณศัพท์คำนั้นๆ มีความหมายไม่ชัดเจนเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะมีประโยชน์มากในการอธิบายลักษณะผู้คนหรือสิ่งของ.